เทวดาสอนธรรม ตอนที่ 2
วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
เชื่อมระบบพิเศษที่อินเฮ้าท์ 30 มกราคม 2552
เชื่อมระบบพิเศษที่อินเฮ้าท์ 30 มกราคม 2552
See all the ways you can stay connected to friends and family
See all the ways you can stay connected to friends and family
วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2551
ยูเอฟโอที่เขากะลา
มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ....
- ในห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดวงดาวนับล้านๆดวง จะมีเพียงดาวดวงนี้เท่านั้นหรือ ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ยิ่งวิทยาศาสตร์มีความเจริญมากขึ้นเท่าใด ความพยายามที่จะค้นหาในสิ่งที่กำลังสงสัยก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น- แต่สิ่งหนึ่ง ที่สวนทางกันกับความเจริญทางโลก ก็คือความเจริญทางจิตวิญญาณ การเรียนรู้เพื่อให้เข้าถึงกฏของธรรมชาติ การเป็นผู้ให้ ความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ซึ่งเริ่มลดน้อยถอยลงแต่อำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง ความมัวเมาในวัตถุ ความแก่งแย่งชิงดี ที่ดูเหมือนจะเจริญงอกงามมากขึ้นทุกวันเป็นเงาตามตัว- ถ้ามองจากด้านนอกเราจะเห็นโลกแคบ แต่ถ้ามองจากด้านในเราจะเห็นโลกกว้าง- คำๆนี้มีนัยสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง เมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับวัตถุสิ่งของภายนอก ความเจริญในด้านเทคโนโลยี่ต่างๆ ต่อให้พัฒนาไปสักแค่ไหนจะไม่มีคำว่าพอ จะต้องเสาะหาต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความทะยานอยากเป็นตัวผลักดันนั่นเอง- แต่เมื่อเรามองจากข้างในตัวเอง มองเห็นความเกิดขึ้นของอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์ เรียนรู้ขันธ์ห้าให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับกฏของธรรมชาติแล้ว เราจะเห็นโลกกว้างไกลเห็นทั่วทั้งอนันตจักรวาล เพราะทุกอย่างมีเพียงหนึ่งเดียวคือธรรมชาติ และทุกสรรพสิ่งก็ดำเนินไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น- กฎของธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรม เป็นกฏอันเดียวกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฏของธรรมชาติ ดังนั้นกฎของธรรมชาตินี้จึงมีอยู่ทั่วไปในสากลจักรวาล -แล้วโลกที่มีความเจริญทางจิตใจ และทางวัตถุควบคู่กันไปเขาอยู่กันอย่างไร?......มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ.....-มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ติดต่อสื่อสารด้วยนั้นมี 2 ดวงดาว เป็นหลัก คือดาวโลกุกะตะปากะดิกอง และ ดาวพลูโต-ดาวโลกุกะตาปากะดิกองเป็นดาวดวงหนึ่งที่อยู่คนละจักรวาลกับเรา มีความเจริญทางจิตและวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไป มีเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าล้ำยุค เป็นมนุษย์ที่อยู่อีกจักรวาลหนึ่งเป็นโลกที่มีขนาดใหญ่เกือบ 3 เท่าของโลกเรา โลกของเขาหมุนรอบตัวเองวันหนึ่ง 60 ชั่วโมง- ภูมิประเทศ เ ป็นดาวที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์อากาศหนาวเย็น มนุษย์จากดาวโลกุกะตาฯ จึงต้องสวมใส่ชุดรัดรูปที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ อุณหภูมิภายในชุดที่สวมใส่จะปรับเองตามความสูงขึ้น หรือลดลงของอุณหภูมิภายนอก เพื่อคงสภาพอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่- บนดาวของเขา ก็มีภูมิประเทศคล้ายโลกเรา มีภูเขา มีแม่น้ำ มีทะเลแต่เขา ไม่มีเรือ(ยานฯแล่นบนน้ำได้) ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถไฟ ดังนั้นโลกของเขาจึงไม่มีมลพิษ ไม่ต้องมีถนนตัดผ่านให้วุ่นวาย แต่มีจุดจอดยานเป็นแห่งๆสำหรับขนส่งสิ่งของ- ไม่มีทางเดินที่เป็นถนนสร้างยาวอย่างโลกของเรา แต่เขามีทางกระโดดซึ่งอยู่ห่างเป็นจุดๆ เพราะโลกของเขามีแรงดึงดูดน้อย จะเดินไม่ได้เพราะตัวเบา จึงต้องกระโดด เขากระโดดได้ไกลประมาณ 5 – 6 เมตร จึงสร้างจุดรองรับเป็นช่วงๆระยะห่างประมาณ 5 เมตร- ในโลกของเขา ก็มีการเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน ในช่วงของการเกิดมรสุม มีการเกิดพายุอย่างหนัก แต่จะไม่เกิดความเสียหาย กับทรัพย์สิน และชีวิตแต่เพราะเขาอยู่ในยานฯ เมื่อเกิดพายุเขาก็จะนำยานฯไปลอยอยู่ข้างบนก่อน เมื่อสงบจึงกลับลงมา ส่วนที่พักที่อยู่บนพื้นโลกจะสร้างเป็นเพียงฐานสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ โผล่ไว้เหนือพื้นดิน จึงไม่เกิดความเสียหาย และเป็นที่สำหรับนำยานลงจอด จะมีทางลงไปใต้ดินด้านล่างซึ่งเป็นที่สำหรับพักอาศัยภายในครอบครัว ซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีสมาชิกไม่เกิน 4 คน คือ พ่อ แม่ และมีลูกได้ไม่เกิน 2 คน ถ้ามีเกินกว่านั้นก็จะผิดกฏ ต้องโดนไล่ออกจากจักรวาลนั้น- มนุษย์ต่างดาวโลกุกะตาฯ มีความเจริญทางจิตสูงมากรักษาศีลกันเป็นปกติ (เป็นแนวทางดำรงชีวิตประจำวัน) แต่ศีลของเขาจะไม่เหมือนกับของเรา เพราะความแตกต่างในเรื่องความเข้าถึงกฏธรรมชาติไม่เหมือนกันเช่นศีลข้อ 1 การฆ่าสัตว์ เขาไม่มี เนื่องจากเขากินอาหารที่เป็นแคปซูล ทำจากต้นเคริป ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นหลักวันละ 1 เม็ด เขาไม่มีระบบขับถ่าย เพราะจะย่อยสลายไปเอง เขาจึงไม่มีการเบียดเบียนกัน แต่สัตว์บนโลกเขาก็มี เขาบอกว่าปลาในน้ำก็มี สัตว์อื่นก็มีแต่ไม่มากมายเหมือนโลกเรา และสัตว์ต่าง ๆ ก็อยู่ไปตามธรรมชาติ จนหมดอายุไปเองศีลข้อ 2 การลักทรัพย์ ศีลข้อนี้ก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่มีเหมือนกันหมด และเป็นของรัฐบาลทั้งหมด ไม่มีการใช้เงินตรา ไม่มีการทำธุรกิจเพื่อแก่งแย่งกัน เพราะรัฐบาลจัดทำเอง จัดหาให้เองทั้งหมด ทุกคนจึงไปทำงานตามหน้าที่ของตนเท่านั้น ดังนั้นความโลภในทรัพย์สินจึงไม่มี และไม่ต้องลักขโมยกันศีลข้อมุสา ไม่ต้องมี เพราะเขาคุยกันทางจิต คิดสิ่งใดออกมาก็รู้กันหมด ซี่งมนุษย์ต่างดาวที่มาสื่อสารตอนแรก ๆ ยังเคยกล่าวว่า มนุษย์โลกนี้ทำไมคิดอย่างหนึ่ง แล้วบอกอีกอย่างหนึ่ง ทำไมไม่บอกอย่างที่กำลังคิด (ตอนนั้นมนุษย์ต่างดาวคงยังไม่รู้ถึงความซับซ้อนในการกล่าวคำเท็จของมนุษย์โลก) มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ทำไมเขาจึงรู้ว่ามนุษย์คนนั้นกำลังคิดอะไ ร เพราะสิ่งที่มนุษย์คิดออกมานั้น มันเป็นระบบคลื่นที่ส่งออกมาจากสมอง เมื่อมีเครื่องมือแปลสัญญาณคลื่นนั้น ก็มองเห็นว่ากำลังคิดอะไร ซึ่งเขาก็ประดิษฐ์เครื่องแปลสัญญาณนั้นมาใช้บนโลก เขาบอกไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นเทคโนโลยี เหมือนเรามีเครื่องรับแฟกซ์ ตอนเขาส่งมาจากต่างประเทศ ก็มาเป็นสัญญาณคลื่น เมื่อเรามีเครื่องรับแฟกซ์ ก็สามารถรับสัญญาณคลื่นมาแปลเป็นข้อความ หรือภาพ ลงในแผ่นกระดาษได้ และสามารถรับรู้ข้อความ หรือภาพต่าง ๆ ได้เหมือนกับที่เขาส่งมาเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มนุษย์ยังไม่สามารถสร้างเครื่องแปลคลื่นความคิด ให้ออกมาเป็นข้อความได้ เราจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ ว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเราคิดอะไรอยู่?-เป็นตัวอย่างบางข้อ ที่เขาเคยกล่าวไว้ ซึ่งกฏศีลธรรมบนโลกเขา ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง โลกของเขาจึงไม่มีการปกครองด้วยกฏหมาย แต่มีกฏศีลธรรม หรือกฏของธรรมชาติ เป็นตัวกำกับ หากผู้ใดละเมิดกฏศีลธรรมก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน- เรื่องราวยังมีอีกมากมาย และทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่นำมาเล่าให้ฟัง และเป็นข้อความที่พี่สุดใจเก็บรวบรวมไว้ ทุกครั้งที่มีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว และเมื่อมีข้อมูลผ่านมา จ.ส.อ.เชิด จะเป็นผู้แปลข้อมูลต่าง ๆ และพี่จะเป็นคนบันทึกไว้ แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกในโอกาสต่อไปนะคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)